ระบบนิเวศป่าชายเลน


ป่าชายเลน
(mangrove forest หรือ intertidal forest)
หมายถึง กลุ่มสังคมพืชที่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิดที่ไม่ผลัดใบหรือมีใบเขียวชอุ่มตลอดปี และมีสัตว์ที่หลากหลายดำรงชีวิตร่วมกันภายใต้สภาพแวดล้อมที่เป็นดินเลน น้ำกร่อย มีน้ำทะเลท่วมถึงอย่างสม่ำเสมอ ป่าชายเลนจึงพบได้ในบริเวณที่เป็นชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำ อ่าว ทะเลสาบ และรอบเกาะแก่งต่าง ๆ พันธุ์ไม้ที่พบเป็นจำนวนมาก คือ ไม้สกุล “โกงกาง” จึงสามารถเรียก ป่าชายเลน ว่า “ป่าโกงกาง” ได้

ต้นโกงกาง (Mangrove Tree)
เป็นต้นไม้ที่มีประโยชน์เหลือคณานับ ที่สำคัญมันทำหน้าที่เปรียบเสมือนกำแพงกั้น ป้องกันคลื่นและลมพายุ มีรากค้ำจุน ช่วยพยุงให้ต้นตั้งอยู่ได้ในดินเลน มีรากอากาศที่เป็นเหมือนหลอดดูดออกมารับออกซิเจนเพื่อการหายใจ
ระบบนิเวศป่าชายเลน (Mangrove Ecosystem)
เป็นระบบนิเวศที่อยู่ในแนวเชื่อมต่อระหว่างผืนแผ่นดินกับพื้นน้ำทะเล มีการขึ้นลงของน้ำทะเลในระดับที่สูงสุดและต่ำสุด อยู่ในเขตร้อน และกึ่งร้อน เป็นระบบที่นำเอาทรัพยากรน้ำ ดิน และแร่ธาตุต่าง ๆ จากบกและทะเลที่เกิดจากการทับถม มาปรุงแต่งและพัฒนาให้เป็นแหล่งทรัพยากรที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและมีคุณค่าสูง เป็นแหล่งกำเนิดห่วงโซ่อาหาร ของมวลมนุษย์

องค์ประกอบของระบบนิเวศป่าชายเลน
ระบบนิเวศในป่าชายเลนเป็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ
- สิ่งไม่มีชีวิต ประกอบไปด้วย ธาตุอาหาร เกลือแร่ น้ำ ซากพืช ซากสัตว์ และสภาพภูมิอากาศ เช่น อุณหภูมิ แสง ฝน ความชื้น เป็นต้น
- สิ่งมีชีวิต ประกอบด้วย ผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย
ผู้ผลิต คือ สิ่งมีชีวิตที่สามารถสังเคราะห์แสงเองได้ ได้แก่ พรรณไม้ต่าง ๆ ในป่าชายเลน รวมไปถึงแพลงก์ตอนพืช และสาหร่าย
ผู้บริโภค คือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ต้องพึ่งพาอาศัยพวกอื่น ได้แก่ พวกสัตว์หน้าดินขนาดเล็ก เช่น แพลงก์ตอนสัตว์ ปู ไส้เดือนทะเล และสัตว์อื่น ๆ
ผู้ย่อยสลาย คือ พวกจุลินทรีย์ทั้งหลายที่ช่วยในการทำลายหรือย่อยสลายซากพืชและซากสัตว์ให้เน่าเปื่อยผุพัง จนในที่สุดสลายตัวเป็นธาตุอาหารและปุ๋ย ซึ่งสะสมเป็นแหล่งอาหารในดินเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตต่อไป ได้แก่ รา แบคทีเรีย ในป่าชายเลน รวมถึงปูและหอยบางชนิด
สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตในป่าชายเลนเหล่านี้ จะมีความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างซับซ้อน ทั้งในแง่การหมุนเวียนของธาตุอาหารและการถ่ายทอดพลังงาน
ห่วงโซ่อา หาร (Food Chain)

จะมีการกินต่อกันเป็นทอด ๆ เมื่อผู้ผลิต คือ พืชพรรณต่าง ๆ เจริญเติบโตจากการสังเคราะห์แสง ส่วนของต้นไม้ ใบไม้ กิ่งไม้และเศษไม้ จะร่วงหล่นทับถมในน้ำ ในดิน ถูกย่อยสลายโดยผู้ย่อยสลาย (เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา แพลงก์ตอน โปรโตซัว) กลายเป็นอินทรียวัตถุ ในที่สุดก็จะกลายเป็นแร่ธาตุอาหารของผู้บริโภคพวกกินอินทรีย์สาร (เช่น กุ้ง ปู สัตว์หน้าดินเล็ก ๆ) พวกกินอินทรีย์สารนี้จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นแหล่งอาหารโปรตีนอันอุดมสมบูรณ์แก่ สัตว์เล็ก ๆ และสัตว์เล็ก ๆ เหล่านี้ก็จะเจริญเติบโตขึ้น กลายเป็นอาหารของพวกกุ้ง ปู ปลา ฯลฯ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ และกลายเป็นอาหารของมนุษย์ต่อไป แต่บางส่วนก็จะตายและผุพัง สลายตัวเป็นธาตุอาหารสะสมอยู่ในป่า ซึ่งทั้งหมดจะเกิดเป็นห่วงโซ่อาหารขึ้น ในระบบนิเวศป่าชายเลน
ธรรมชาติจะมีความสมดุลในตัวของมันเอง แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งก็จะเป็นผลทำให้ระบบความสัมพันธ์นี้ถูกทำลายลง จนเกิดเป็นผลเสีย เช่น ถ้าหากพื้นที่ป่าชายเลนถูกบุกรุกทำลาย จำนวนสัตว์น้ำก็จะลดลงตามไปด้วย

หาดทรายดำ (Black Sand Beach)
หาดทราย และขนาดเม็ดทรายมีความแตกต่างกันตามสถานที่ ขึ้นอยู่กับลักษณะทางภูมิศาสตร์และ
ฤดูกาล และบริเวณบ้านกลาง ต.แหลมงอบ อ.แหลมงอบ จ.ตราด หาดทรายแห่งนี้ คือ หาดทรายดำ 1 เดียวในสยาม
หาดทรายดำ เกิดจากการยุบสลายของเศษเหมืองและเปลือกหอย ผสมด้วยควอตซ์, ซิลิกา หรือเป็นการผุกร่อนของเหล็ก รวมถึงอินทรีย์วัตถุในป่าชายเลน ผ่านกระบวนการทางธรรมชาติอันซับซ้อนและยาวนาน ในหาดทรายดำมี แร่ไลมอไนต์ (Limonite) อยู่มากทำให้ทรายมีสีดำเข้ม เนื้อทรายมีความเนียน ละเอียด และอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก นักท่องเที่ยวมักมาหมกตัวกันที่นี่ ถึงแม้ว่าในทางการแพทย์ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่มีผลทางการรักษาโรค แต่ในทรายดำอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น เพียงแค่นำเท้าไปหมกทรายดำ หรือได้เดินบนหาดทรายดำประมาณ 10 - 20 นาที ก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพเท้า
จุดเด่นของหาดทรายดำ จ.ตราด
นอกจากความพิเศษของทรายดำแล้ว หาดทรายดำที่นี่จะอยู่ปะปนไปกับต้นไม้ของป่าชายเลน มีพรรณไม้ที่ให้ร่มเงา เขียวขจี บรรยากาศร่มรื่น มีสัตว์ชายเลนให้ได้ชม และมีเส้นทางธรรมชาติให้ได้ศึกษาเรียนรู้กันอีกด้วย
นักท่องเที่ยวจะได้เห็นสัตว์ที่โดดเด่นต่าง ๆ ที่หาดทรายดำ เช่น