ในหลวง ร.9
กับการอนุรักษ์ป่าชายเลน

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกลถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ ก่อนที่สังคมไทยจะเห็นถึงความสำคัญ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2534 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับป่าชายเลนเป็นครั้งแรก ในพระราชพิธีแรกนาขวัญหว่านข้าว ณ บริเวณสวนจิตรลดา ความตอนหนึ่งว่า “...ป่าชายเลนมีประโยชน์ต่อระบบนิเวศของพื้นที่ชายฝั่งทะเลและอ่าวไทย แต่ปัจจุบันป่าชายเลนของไทยเรากำลังถูกบุกรุกและถูกทำลายลงไป โดยผู้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน โดยเฉพาะต้นโกงกาง เป็นไม้ชายเลนที่แปลกและขยายพันธุ์ค่อนข้างยาก เพราะต้องอาศัยระบบน้ำขึ้นน้ำลงในการเติบโตด้วย จึงขอให้ส่วนกลางที่เกี่ยวข้องคือ กรมป่าไม้ กรมประมง กรมชลประทาน และกรมอุทกศาสตร์ ร่วมกันหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการทดลองขยายพันธุ์โกงกางและปลูกสร้างป่าชายเลนกันต่อไป...”
ทรัพยากรป่าชายเลนอันสมบูรณ์ของประเทศไทยในวันนี้ เกิดจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่มีสายพระเนตรอันยาวไกล ทรงเล็งเห็นความสำคัญของทรัพยากรป่าชายเลนที่มีความสำคัญ เป็นแหล่งอาหารของมนุษย์และสัตว์ จากพระราชดำรัสในวันนั้น ก่อให้เกิดโครงการพัฒนาและบำรุงป่าไม้จำนวนมากมาย โดยมีตัวอย่างพื้นที่ต้นแบบในการอนุรักษ์ป่าไม้ โดยเฉพาะระบบนิเวศป่าชายเลนที่เป็นรูปธรรม เช่น ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.คลองขุด อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่ถูกพลิกฟื้นจากป่าเสื่อมโทรม และนากุ้งร้างให้เป็นป่าชายเลน โครงการชุมชนพัฒนาป่าชายเลน ต.หัวเขา อ.สิงหนคร จ.สงขลา ที่ทำการพัฒนาชุมชนให้มีความสำนึกในความรู้ความเข้าใจในการใช้ทรัพยากรชายฝั่ง เป็นการพัฒนาและฟื้นฟูป่าชายเลนในอีกมิติหนึ่งของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ที่อาศัยความเกี่ยวพันและเกื้อกูลซึ่งกันและกันของมนุษย์กับธรรมชาติ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้น้อมนำแนวพระราชดำรัสมาดำเนินงาน เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนอันได้แก่ การประชาสัมพันธ์ รณรงค์ปลูกป่าชายเลน และฟื้นฟูป่าชายเลนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ป่าชายเลนได้เอื้อประโยชน์ สร้างความสุข สร้างรายได้ ให้พี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืนตลอดไป

คำสอนพ่อ ในการอนุรักษ์ป่าชายเลน
ป่าชายเลนเป็นระบบนิเวศที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่ง คนส่วนใหญ่อาจจะเรียกว่า “ป่าโกงกาง” เป็นแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตนานาพันธุ์ทั้งพืชและสัตว์ พันธุ์ไม้ที่พบในป่าชายเลนของประเทศไทยที่สำคัญได้แก่ ไม้โกงกาง แสม ประสัก โปรง ถั่ว ลำพู ลำแพน ฝาด ตาตุ่ม เป็นต้น และยังพบพวกสาหร่ายหลายชนิดอาศัยตามลำต้น สำหรับสัตว์น้ำมีทั้งปลา กุ้ง หอย ปู นอกจากนั้นป่าชายเลนยังเป็นที่อยู่ของพวกนก และสัตว์ประเภทอื่นอีกหลายชนิด ป่าชายเลนจึงเป็นทั้งแหล่งอาหาร ที่อาศัย ที่หลบภัย และแหล่งขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำนานาชนิด
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง ทรงมุ่งเน้นการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้เป็นแนวทางหลักในการจัดการทรัพยากรป่าไม้ ด้วยทรงตระหนักถึงความสำคัญของป่าไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วมฉับพลัน และการพังทลายของดินอย่างรุนแรง จึงมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาป่าให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดังเดิม โดยเฉพาะการอนุรักษ์และพัฒนาป่าต้นน้ำและป่าชายเลนอันเป็นแหล่งกำเนิด แหล่งอาศัย และแหล่งอาหารตามธรรมชาติของสรรพชีวิตซึ่งเป็นฐานและต้นทุนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎร
โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการจัดการป่าชายเลนไว้เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ความว่า
“...พื้นที่ป่าชายเลนที่ปลูกมาแล้ว ถ้าแน่นเกินไป แสงแดดส่องลงไปไม่ถึง ไม่มีออกซิเจน สัตว์น้ำไม่สามารถอยู่ได้ จำเป็นต้องตัดสาง และไม้ที่ตัดสางออกให้นำไปเผาถ่าน หรือใช้ประโยชน์อย่างอื่น พื้นที่ป่าชายเลนควรขุดให้เป็นหลุมเป็นแอ่งบ้าง เพื่อเป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำ...”
การลดความหนาแน่นของต้นไม้และการเพิ่มการระบายน้ำในพื้นที่ป่าชายเลน จึงเป็นแนวทางในการบริหารจัดการที่จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดของกล้าไม้ที่เราปลูกได้ การปลูกป่าชายเลนจึงจะประสบความสำเร็จ ก่อให้เกิดความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้อยู่คู่ทะเลไทยไปอีกนานเท่านาน
พระพันปีหลวงกับการอนุรักษ์
ป่าชายเลน

ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าชายเลนเป็นอันดับ 5 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ไม่เพียงประโยชน์ในฐานะแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ แหล่งยาและพลังงาน แต่ยังเป็นแหล่งอาหาร สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนโดยรอบ การอนุรักษ์ป่าชายเลน จึงเป็นการอนุรักษ์แหล่งอาหารของมนุษย์และสัตว์ด้วย
ดังความตอนหนึ่งในพระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2542 ความว่า “...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสอนข้าพเจ้าเสมอว่า ป่าชายเลนให้ช่วยกันระวังรักษา...ป่าชายเลนก็เหมือนสถานอนุบาลของสัตว์น้ำเล็ก ๆ ...ป่าชายเลนก็ทำให้เขาเลี้ยงตัวเองได้ และรอดชีวิตเป็นปลาใหญ่ขึ้นมาและยังมีกุ้งตัวใหญ่ ปูตัวใหญ่ เจริญเติบโต แล้วก็เป็นอาหารของมนุษย์ต่อไป”
นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับป่าชายเลนอย่างต่อเนื่องในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2544 ความว่า “...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสอนข้าพเจ้าเสมอว่า ป่าไม้ชายเลนนี้สำคัญมากที่สุด เพราะว่าเป็นที่ที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพราะพวกเราเองก็รับประทานปลาแล้วก็ทานปู ทานกุ้งกันเยอะแยะ เพราะฉะนั้นป่าชายเลนนี้สำคัญ ในการที่จะรักษาเอาไว้ เพื่อรักษาพันธุ์ปลาพันธุ์กุ้ง ปู ให้มีมากเหมือนแต่เก่าก่อนขณะนี้ป่าชายเลนถูกทำลายมากมายก่ายกอง เราน่าจะสอนลูกหลานเราให้รู้ถึงคุณค่าของป่าชายเลนที่มีประโยชน์ต่อคนไทยทุกคนในแผ่นดินนี้ด้วยที่ช่วยเก็บรักษาอาหาร เช่น พืชพันธุ์ ปลาต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าคิดเอาเองว่าเอ๊ะพวกเรานี้ยังรู้สึกรักแผ่นดินน้อยไป ไม่สมกับที่เราได้ประโยชน์มากมายจากแผ่นดินนี้ ไม่รู้จักถนอม ไม่รู้จักดูแลให้เป็นแผ่นดินที่เป็นแผ่นดินทอง ตลอดมีทรัพยากรที่มีอาหารสำหรับเลี้ยงคนไทยตลอด โดยไม่กลายเป็นบ้านเมืองที่อดอยากแห้งตาย”
จากพระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เกิดเป็น “โครงการปลูกป่าชายเลนถาวรเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสพระชนมายุ 72 พรรษา” โดยมีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน และนับเป็นจุดเริ่มต้นของการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนของประเทศไทยด้วยพลังแห่งความรู้รักสามัคคี สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

พระพันปีหลวง
กับการอนุรักษ์ป่าชายเลน
เนื่องจากในอดีต ป่าชายเลน และ ระบบนิเวศริมชายฝั่งทะเลถูกทำลาย สัตว์เล็กใหญ่ กุ้ง หอย ปู ปลา ริมชายฝั่งลดน้อยลง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระราชชนนีพันปีหลวง ทรงเล็งเห็นความสำคัญของระบบนิเวศของป่าชายเลน โดยทรงมีพระราชดำรัสไว้เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ความว่า
“...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านอธิบายให้ข้าพเจ้าฟังว่าป่าไม้ชายเลนก็คือที่ที่เพาะพันธุ์ปลา ปลาจะมาวางไข่ ปลาตัวเล็กตัวน้อยจะอาศัยป่าชายเลน เป็นที่อาศัยจนกว่าจะเติบโตแข็งแรงออกไป เรียนทีละเล็กละน้อย ระหว่างอยู่ใกล้พระองค์ แล้วก็พยายามอธิบายให้ชาวบ้านฟัง อย่างที่กระบี่ ข้าพเจ้าก็ไปขอกับชาวกระบี่ว่า ป่าไม้ชายเลนนี้อย่าทำลายเลย ขอให้ข้าพเจ้าเถอะ ขอให้เป็นป่าไม้ชายเลนอย่างเดิม เพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยเอง..."
โดยในปัจจุบัน ป่าไม้ชายเลนหน้าเมืองกระบี่ จัดเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติลำดับที่ 4 ของประเทศไทย ลำดับที่ 1,100 ของโลก ที่ยังคงสภาพความอุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน อีกทั้งการอนุรักษ์ป่าชายเลนตามแนวพระราชดำรัสยังสร้างจิตสำนึกให้ชาวกระบี่ ช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ ด้วยการรักษาไว้ และใช้อย่างพอเพียง คงความอุดมสมบูรณ์เป็นประตูสู่แหล่งมหัศจรรย์เขาขนาบน้ำ ป่าในเมืองแห่งแรกของจังหวัดกระบี่
สืบสาน รักษา ต่อยอด
พระราชปณิธาน
เพื่อปวงประชา

“เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป”
จากพระปฐมบรมราชโองการของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 สะท้อนถึงพระราชปณิธาน พระราชหฤทัยอันมุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานและแนวพระราชดำริต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อสานต่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาราษฎร์
ตลอดช่วงเวลาที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงเรียนรู้หลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ในด้านต่าง ๆ โดยได้ทรงติดตามเสด็จฯ ไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจพร้อมพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในแทบทุกหนแห่ง เมื่อเสด็จขึ้นทรงราชย์ ทรงต่อยอดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนชาวไทย
จากพระปฐมบรมราชโองการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในครั้งนั้น วันนี้เกิดเป็น 172 โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566) จากพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อความอุดมสมบูรณ์ สงบ ร่มเย็นของประเทศชาติ

“เจ้าฟ้านักอนุรักษ์และนักพัฒนา”
สืบสานพระราชปณิธาน
อนุรักษ์ พัฒนาฐานทรัพยากรของประเทศ
นำไปสู่เศรษฐกิจพอเพียง
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นเจ้าฟ้า นักอนุรักษ์และนักพัฒนาของปวงชนชาวไทย ทรงดำเนินงานตามแนวทางการพัฒนาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงได้ทรงปฏิบัติมาก่อน พระองค์ทรงตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาสภาพความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของประชาชน ที่จำเป็นต้องเริ่มจากการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและผืนป่า
ดังที่ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่เจ้าหน้าที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อพุทธศักราช 2528 ความตอนหนึ่งว่า
“...เหตุที่ชอบการพัฒนาช่วยเหลือประชาชนนั้น เห็นจะเป็นเพราะความเคยชิน ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ก็เห็นทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงคิดหาวิธีต่าง ๆ ที่จะยกฐานะความเป็นอยู่ของคนไทยให้ดีขึ้น ได้ตามเสด็จเห็นความทุกข์ยากลำบากของพี่น้องเพื่อนร่วมชาติ ก็คิดว่าช่วยอะไรได้ควรช่วย ไม่ควรนิ่งดูดาย เมื่อโตขึ้นพอมีแรงทำอะไรได้ก็ทำไปอย่างอัตโนมัติ โดยทำตามพระราชกระแส หรือทำตามแนวพระราชดำริ การช่วยเหลือประชาชนเป็นหน้าที่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องทำประจำอยู่แล้ว...”
พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านต่าง ๆ มาอย่างมากมายและต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาสังคม การศึกษา สิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะงานด้านการพัฒนา พระองค์ทรงเรียนรู้งานจากการตามเสด็จพระราชดำเนินพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปทรงเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารต่าง ๆ ทั่วประเทศ
โดยทรงมีพระราชดำริและดำเนินงานหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ เช่น “โครงการอนุรักษ์ พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริและการจัดตั้ง ธนาคารพืชพรรณ” ทรงสนับสนุนให้มีการรวบรวมพันธุ์พืชเฉพาะถิ่น พืชหายาก และใกล้สูญพันธุ์ ทำการศึกษาวิจัย สภาวะที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ตลอดจนประโยชนข์องพืชชนิดต่าง ๆ
ด้านการอนุรักษ์ป่ายชายเลน ทรงดำริให้มีโครงการอนุรักษ์ป่าไม้ชายเลน และสภาพแวดล้อมธรรมชาติของอ่าวคุ้งกระเบน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกป่าชายเลนขึ้นใหม่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.จันทบุรี เพราะมีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเล เช่นเดียวกับโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เพชรบุรี ในพื้นที่มีการทดลองปลูกพืชและบำบัดน้ำเสีย ปลูกป่าชายเลนให้เพิ่มมากขึ้น ใช้ธรรมชาติบำบัดของเสียด้วยตัวเอง


ประโยชน์สุขทุกสถานใต้พระบารมี


วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ในพื้นที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน จ.ตราด และ จ.จันทบุรี ณ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านน้ำแดง ต.บางชัน อ.ขลุง จ.จันทบุรี ในการเสด็จเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ป่าชายเลนและการอนุรักษ์ป่าชายเลน นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ เฝ้ารับเสด็จฯ และถวายรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของศูนย์การเรียนรู้ป่าชายเลนและการอนุรักษ์ป่าชายเลน พร้อมทั้งเมนูป่าชายเลนกินได้ การสาธิตการทำสบู่สมุนไพรต้นเหงือกปลาหมอ แชมพูต้นถอบแถบน้ำ ใบโกงกางชุบแป้งทอด น้ำสมุนไพรต้นเหงือกปลาหมอมะปี๊ดอัญชัน และประสักเชื่อม ร่วมกับนักเรียนจากโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านน้ำแดง

ทรงปกปักษ์ รักษา
ห่วงใย ทะเลไทย
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระดำริที่จะอนุรักษ์แนวปะการัง กัลปังหา และสิ่งมีชีวิตทะเลไทย โดยทรงห่วงใยปัญหาและความเสื่อมโทรม ของทรัพยากรธรรมชาติใต้ทะเล การทำร้ายสัตว์ทะเลด้วยน้ำมือมนุษย์โดยตั้งใจหรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนั้น การอนุรักษ์และการสร้างจิตสำนึกในการหวงแหนและรักษาสิ่งแวดล้อมตลอดจนระบบนิเวศ จึงมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลไทย อันเป็นที่มาของ “โครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา”
โครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เกิดจากการผสานความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมโครงการฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ตลอดจนคำปรึกษาจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล เพื่อจัดทำโครงการ แผนงาน และกิจกรรมต่างๆ ที่สามารถตอบสนองพระดำริของพระองค์ท่านได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีความยั่งยืน เพื่อพลิกฟื้นคืนความสมบูรณ์และความสมดุลทางธรรมชาติให้แก่ท้องทะเลไทย และสัตว์ทะเลหายากไม่ให้ถูกทำลายเพิ่มขึ้น

พระราชปณิธาน 5 ประการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยและทรงคำนึงถึงความอยู่ดีมีสุขของประชาชนเป็นสำคัญ พระองค์มีพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะทำให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และมีพระราชประสงค์ที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอดพระบรมราชปณิธาน และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการบำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้แก่ประชาชน และพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ดังพระราชดำรัสชองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้แก่ข้าราชราชบริพารในพระองค์ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ความว่า
“...ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง...”
พระราชปณิธาน 5 ประการ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความหมายดังนี้
1. ประเทศชาติมั่นคง ความอยู่รอดปลอดภัย และความเจริญก้าวหน้าของของชาติตลอดจนความเป็นปึกแผ่น แน่นแฟ้นคงทนของชาติ
2. ประชาชนมีความสุข พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงคำนึงถึงประโยชน์สุข ของประชาชนชาวไทยด้วยพระราชหฤทัยอย่างเสมอภาค
3. แก้ไขในสิ่งผิด ทรงมุ่งเน้นแก้ไขในสิ่งผิดด้วยการปลูกฝังค่านิยมการทำความดี และการมีจิตสาธารณะ
4. สืบสานในพระราชปณิธาน ทรงสร้างองค์ความรู้ และน้อมนำสิ่งที่พระราชบิดาได้พระราชทานไปปฏิบัติเพื่อยึดถือเป็นหลักการดำเนินชีวิต ให้แก่ประชาชน
5. ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทรงยึดมั่นแนวพระราชดำริ และทรงมุ่งมั่น สืบสาน รักษา ต่อยอด โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อความยั่งยืน และความอยู่ดีมีสุขของชาวไทย